รถยนต์ไฟฟ้ามือสองกับ 6 สิ่งที่ควรรู้ก่อนซื้อ

Ev2Gang

3 ธันวาคม 2023

การเพิ่มขึ้นของยอดผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า(EV)ที่กำลังเติบโตในไทย เห็นได้จากการลงทะเบียนจองรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 3,000 คันภายในงาน MotorExpo ปีล่าสุด จากความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดยานยนต์ไทยที่กำลังพัฒนา ทำลายสถิติใหม่สำหรับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก ทำให้การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองกำลังได้รับความนิยมสูงเช่นกัน

ความน่าสนใจของรถยนต์ไฟฟ้าคือด้านราคา การได้รับสนับสนุนจากนโยบายภายนอกต่าง ๆ เช่น การลดภาษี โครงการเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ และค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของบริษัทผู้ผลิตที่ลดลง เมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซินเป็นเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ เทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อม ยังกระตุ้นให้เกิดเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย

ทำให้ในวันนี้  Ev2Gang จะขอนำเสนอคู่มือที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกในเลือกดูรถยนต์ไฟฟ้า มือสอง ว่ามีข้อควรพิจารณาและข้อสังเกตอะไรบ้าง คำแนะนำนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ การเปรียบเทียบด้านราคา สภาพแบตเตอรี่รถยนต์มือสอง ประวัติการบำรุงรักษา ระยะวิ่ง และ ข้อพิจารณาที่จำเป็นก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสองอย่างครบถ้วน

ก่อนเลือกรถยนต์ไฟฟ้า มือสอง

ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองเทียบกับมือหนึ่ง ?

รถยนต์ไฟฟ้ามือหนึ่งทั่วไปมักราคาไม่แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้ามือสองมากนัก  โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามือหนึ่งจะมีราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 400,000 ถึง 500,000 บาทสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทซีดานระดับกลางทั่วไป ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ามือสองที่ใช้มาประมาณ 5 ปี ราคาจะถูกลดลงที่ 25% หากแต่สิ่งที่คุณควรคำนึงคือด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และระยะวิ่งที่ถูกจำกัด ดังนั้น หากคุณพึงพอจะสำหรับเม็ดเงินที่สามารถประหยัดได้ประมาณ 1/4 ของราคารถยนต์เต็มซึ่งแลกกับข้อด้อยด้านระยะวิ่งและการรองรับเทคโนโลยีใหม่สำหรับแบตเตอรี่ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ

รถยนต์ไฟฟ้ามือสองถูกกว่ารถยนต์น้ำมัน ?

แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ามือสองอาจมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่ต้องจ่ายสูงกว่ารถยนต์มือสองประเภทเครื่องยนต์สันดาปทั่วไป แต่ให้ พิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง การบำรุงรักษา และความประหยัดที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว เพราะ ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าโดยทั่วไปจะต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อน ดังนั้น ข้อควรพิจารณาสำหรับการเลือกซื้อรถยนต์มือสองที่สำคัญอีกประการคือ การศึกษาค่าบำรุงรักษาระยะยาวของรถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อคุณเข้าใจเกี่ยวกับราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองและพิจารณาเรื่องการบำรุงรักษาของรุ่นรถยนต์แล้ว ต่อไปเราจะกล่าวถึง 6 ข้อควรรู้ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง ดังนี้

6 ข้อควรรู้ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง

1. เช็คแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก่อนเสมอ

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า(EV) ได้รับการออกแบบให้มีอายุการใช้ประมาณ 10 ปีขึ้นไป โดยมักมีการรับประกันแบตเตอรี่จากผู้ผลิตอย่างน้อย 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ปกติแล้วการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากแต่มีผู้กำลังสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามือสองจำนวนมากมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพแบตเตอรี่ ดังนั้น เราแนะนำให้คุณสอบถามถึงระยะเวลาประกันแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าให้ชัดเจน และทดสอบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่(SOH) อาจมีบางกรณีที่แบตเตอรี่ถูกเปลี่ยน คุณจำเป็นจะต้องดูเอกสารประกอบการซื้อขายเสมอ โดยดูช่วงประมาณของการชาร์จไฟเต็ม และอ่านรายงานสภาพแบตเตอรี่ที่คอมพิวเตอร์รถยนต์ ซึ่งโดยทั่วไปรถยนต์ไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่ 12 โวลต์ เป็นต้น

2. สอบถามถึงประวัติซ่อมและการบำรุงรักษา

เราแนะนำให้สอบถามโดยตรงกับเจ้าของคนก่อนหรือตัวแทนจำหน่ายเกี่ยวกับประวัติการเข้าซ่อมแซมและการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้ามือสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบันทึกการบริการที่ผู้ขายสามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ดี รถยนต์ไฟฟ้าต้องการการบำรุงรักษาค่อนข้างน้อย นอกจากการสลับยางและการเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนตามปกติ ดังนั้น คุณอาจได้รับใบเสร็จเพื่อตรวจสอบไม่กี่รายการ แม้แต่ระบบเบรก รถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะใช้งานได้นานกว่ารถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปพอสมควร เนื่องจากระบบมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยชะลอความเร็วของรถและนำประจุไปที่สะสมพลังงานภายในแบตเตอรี่รถยนต์เสมอ

3. เลือกระยะวิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการ

รถยนต์ไฟฟ้ายุคแรกที่ผลิตขึ้น จะมีระยะวิ่งประมาณ 100 กม. ต่อหนึ่งรอบชาร์จไฟ หากแต่ในปัจจุบัน Tesla Model S สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 1,200 กิโลเมตร ในการชาร์จเพียง 1 ครั้ง และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่กว่าในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเกินจำนวนดังกล่าวไปอีกมาก

ดังนั้น จึงควรพิจารณาว่าคุณต้องการระยะวิ่งเท่าใด แม้ว่าระยะวิ่งที่สูงสุดจะดีที่สุด แต่ต้องแลกกับราคาแบตเตอรี่ภายในที่เพิ่มขึ้นสูงเช่นกัน ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นรถยนต์สำรองหรือใช้ขับขี่ภายในเมืองเท่านั้น ระยะวิ่ง 400 กิโลเมตรย่อมเพียงพอสำหรับการใช้งานแล้ว ซึ่งสำหรับการเดินทางระยะไกลหรือการขับข้ามจังหวัด เราแนะนำให้คุณสามารถเลือกใช้รถยนต์สันดาปจะเหมาะสมกับคุณมากกว่า หากเทียบกับความสะดวกในการเติมเชื้อเพลิงจากสถานีบริการ และค่าใช้จ่ายระยะยาวจากการใช้ประสิทธิภาพของรถยนต์ที่หนักหน่วง

4. เวลาชาร์จไฟแต่ละรุ่นไม่เท่ากัน

รถยนต์ไฟฟ้ามีระยะเวลาในการชาร์จไฟในอัตราที่แตกต่างกัน สำหรับรุ่นที่มีปริมาณแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าย่อมหมายถึงเวลาชาร์จที่เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf ใช้เครื่องชาร์จ DC CHARGER ชาร์จพลังงาน 0% – 100% ใช้เวลาประมาณ 6 ชม. หากแต่ Tesla Model 3 ใช้ DC CHARGER ชาร์จพลังงาน 100% ใช้เวลาเพียงประมาณ 56 นาที ซึ่งยิ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ แบตเตอรี่จะชาร์จไฟได้เร็วมากขึ้นตามการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ ขณะนั้น

หากคุณวางแผนที่จะชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าในที่ทำงานหรือที่ห้างสรรพสินค้า โดยใช้สถานีชาร์จสาธารณะเป็นเวลาสั้นๆ เป็นประจำ ให้พิจารณารถยนต์ไฟฟ้าที่ชาร์จได้อย่างรวดเร็วมากที่สุดเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อ หรือหากคุณวางแผนที่จะชาร์จไฟข้ามคืนที่บ้านเป็นประจำแทนที่ การเลือกรถยนต์ไฟฟ้าโดยพิจารณาจากเวลาชาร์จที่รวดเร็วที่สุดอาจไม่จำเป็นสำหรับคุณ โดยคุณจะสามารถประหยัดเงินมากขึ้นด้วยการเลือกรถยนต์ไฟฟ้ามือสองที่ถูกกว่าหากแต่มีเวลาในการชาร์จที่นานขึ้น

5. อย่าลืมถามถึงตู้ชาร์จ

เมื่อคุณได้เลือกรถยนต์ไฟฟ้ามือสองรุ่นที่สนใจได้แล้ว เราแนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ขายมีตู้ชาร์จไฟ(Wall Charger)หรือเครื่องชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมกับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือหนึ่งมาด้วยหรือไม่ เพราะอุปกรณ์ชาร์จไฟเป็นสินค้าที่ราคาแพง ดังนั้น การตรวจสอบสายชาร์จที่ควรแถมมาด้วยกับรถยนต์ไฟฟ้ามือสองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะรักษาผลประโยชน์และประหยัดเงินคุณได้จำนวนหนึ่ง

6. การจัดไฟแนนซ์รถยนต์ไฟฟ้า มือสอง

รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง มักนิยมซื้อดาวน์หรือถูกขายเป็นเงินสดเป็นหลัก แตกต่างกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมือสองที่มักขายโดยจัดไฟแนนซ์ร่วมด้วย โดยทั่วไปแล้วการจัดไฟแนนซ์จะพิจารณาจากยี่ห้อรถยนต์ รุ่นและปีที่ผลิต ตลอดจนสภาพของรถยนต์ และขนาดของเครื่องยนต์ หากแต่ รถยนต์ไฟฟ้าบริษัทไฟแนนซ์จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพของแบตเตอรี่เพิ่มเติมเป็นปัจจัยสำคัญกับการประเมิณราคายอดจัดและอัตราดอกเบี้ย ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นจะต้องติดต่อบริษัทไฟแนนซ์เป็นกรณีเฉพาะในปัจจุบัน โดยมักสร้างความยุ่งยากในการประเมิณราคาจากข้อมูลของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ยังไม่เพียงพอในไทย ดังนั้น หากคุณเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสองและต้องการจัดไฟแนนซ์ ควรติดต่อและปรึกษาผู้ให้บริการไฟแนนซ์ก่อนเสมอ

สรุปควรซื้อรถยนต์ไฟฟ้า(EV) มือสองหรือไม่

การตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า(EV)มือสอง ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ในตลาดรถยนต์มือสองปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญ และรถยนต์มือสองบางคันอาจมีราคาสูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปรุ่นใหม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสเปค ทั้งระยะวิ่ง และคุณภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ การเลือกซื้อ EV มือสอง เป็นเรื่องที่ดีที่สุดหากเจ้าของคนก่อนดูแลรักษารถอย่างดีและบอกข้อมูลที่ครบถ้วนให้แก่คุณ ในกรณีที่ผู้ขายแจ้งประวัติของรถยนต์ไฟฟ้าไม่ชัดเจน เราแนะนำให้พิจารณาที่สภาพของแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด ซึ่งส่งผลต่อระยะการขับขี่และสมรรถนะโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง

นอกจากนี้ ความพร้อมผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณา การอาศัยอยู่เขตเมืองหรือจังหวัดที่มีสถานีชาร์จ(Ev Station)จำนวนมากที่เข้าถึงได้ง่าย จะทำให้การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า(EV) มือสองเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในทางกลับกัน หากคุณอาศัยในในพื้นจังหวัดที่มีผู้ให้สถานีชาร์จน้อยราย หรือ เดินทางไกลต่างจังหวัดบ่อยครั้ง รถยนต์ไฟฟ้ามือสองอาจเป็นสิ่งที่ยังไม่เหมาะสำหรับคุณ อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมีข้อซักถามเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้ามือหนึ่งและมือสอง สามารถติดต่อเรา Ev2Gang ผู้ให้คำปรึกษาด้านรถยนต์ไฟฟ้าได้ทันที สำหรับวันนี้ ขอบคุณครับ

อื่น ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า:

รวมอู่รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งหมด

ด้วยจำนวนรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การซ่อมบำรุง ตกแต่ง ทำสีและอัพเกรดจึงตามมา Ev2gang จึงได้รวบรวมอู่รถยนต์ไฟฟ้าในไทยพร้อมช่องทางการติดต่อที่นี่

รถติดไหม? – เช็คสภาพจราจรบนแผนที่ออนไลน์

คุณสามารถตรวจสอบสภาพการจราจรในไทย กรุงเทพมหานคร หรือทุกจังหวัด ได้ที่นี่ 1.กดปุ่มโลเคชั่น 2.กดปุ่มมอบสิทธิเปิดใช้งาน 3.สังเกตว่าบริเวณโดยรอบรถติดหรือไม่