เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากได้ออกสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2024 นี้ จึงมักเป็นเรื่องซับซ้อนในการดูว่ามีข้อควรสังเกตและต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง ดังนั้น ในวันนี้ Ev2Gang แหล่งรวมรถยนต์ไฟฟ้า จะมามอบ 5 ขั้นตอนที่คุณควรดูก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน โดยเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายและครบถ้วน ซึ่งเราหวังว่าจะช่วยคุณเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมความต้องการของคุณมากที่สุด
การเลือกดูรถยนต์ไฟฟ้าคล้ายกับการเลือกรถยนต์ทั่วไป ดังนั้น คุณจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า
- คุณต้องการรถยนต์ประเภทใด ? (แฮทช์แบ็ก, เก๋ง, SUV, กะบะ ฯลฯ )
- คุณต้องใช้รถคันนี้ระยะยาวเพียงใด ?
- คุณต้องการรถยนต์ที่มีกี่ที่นั่ง ?
- คุณชอบรถไฟฟ้ายี่ห้ออะไร ?
- คุณต้องการพื้นที่ในห้องโดยสารเท่าใด ?
- รถคันที่เลือกไว้จะประหยัดค่าใช้จ่ายขนาดไหน ?
- ตั้งงบประมาณรายเดือนสูงสุดที่คุณสามารถจ่ายได้กับการใช้รถยนต์ ?
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้า(EV) โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเครื่องด้วยแบตเตอรี่ 100% หรือที่เรียกว่า BEV คุณจะต้องตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมนอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่คุณต้องการ ดังนั้น นี่คือ 5 ขั้นตอนหลักที่ควรพิจารณาดูเมื่อคิดจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของเรา
5 ขั้นตอนดูรถยนต์ไฟฟ้า
1. ดูว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งคัน หรือ ไฮบริดร่วมด้วย
ปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้าอยู่สามประเภท ตามความหมายของรถยนต์ไฟฟ้า(EV) ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้าจากพลังงานแบตเตอรี่ทั้งหมด (BEV), รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบปลั๊กอิน (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบธรรมดาที่ไม่ใช่ปลั๊กอิน (HEV) ซึ่งรถแต่ละประเภททำงานด้วยระบบะที่แตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือต้องเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะกับลักษณะการใช้งานของคุณมากที่สุด
BEV เหมาะผู้ขับขี่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่สุด โดดเด่นด้านความประหยัดและไร้มลภาวะทางอากาศเนื่องจาก BEV ไม่ใช้พลังงานเชื้อเพลงอื่นนอกจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนตัวรถ โดย BEV ได้รับความนิยมมากที่สุดจากประเภทรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด
PHEV คือรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ร่วมกับพลังงานเชื้่อเพลงจากน้ำมันเช่นรถยนต์ทั่วไป กล่าวคือ ทั้งสองระบบทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ PHEV สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟจากตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ ร่วมกับการเติมน้ำมันปกติ แต่มีข้อจำกัดเรื่อง
HEV เรียกได้ว่าเป็นรถไฮบริดที่ชาร์จไฟได้ด้วยการขับขี่เท่านั้น ไม่มีระบบเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟจากตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ทั่วไป HEV สามารถทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่ความเร็วต่ำและในระยะทางสั้นๆ
2. ดูระยะวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้า
เมื่อได้พิจารณาว่ารถยนต์ไฟฟ้า(EV) ประเภทใดที่เหมาะกับคุณมากที่สุดแล้ว ระยะวิ่ง คือสิ่งต่อไปที่คุณควรจะพิจารณาสำหรับการเลือกรถยนต์ไฟฟ้า
HEV ใช้น้ำมันเบนซิน/ดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลัก ดังนั้น คุณเพียงแค่เติมน้ำมันไปตามปกติทำให้ข้อจำกัดเรื่องระยะวิ่งไม่เป็นปัญหา
PHEV จะมีระยะวิ่งจากการใช้งานแบตเตอรี่ 30 – 60 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับรุ่นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเมื่อระยะวิ่งของแบตเตอรี่หมดลง ระบบขับเคลื่อนจะกลับไปใช้เครื่องยนต์เบนซิน/ดีเซลทันที สรุปคือ HEV คุณสามารถควบคุมระยะวิ่งได้ด้วยการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแทน
BEV ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เท่านั้น ดังนั้น สิ่งแรกที่คุณควรดูคือการคำนึงถึงระยะวิ่งตามจำนวนแบตเตอรี่ของแต่ละรุ่นเสียก่อนจะเลือกซื้อ ซึ่งระยะวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่นำเข้ามาในประเทศไทยจะอยู่ที่ 300 – 600 กิโลเมตร โดยเฉลี่ย
3. ดูเวลาการชาร์จไฟ
หากคุณกำลังสนใจรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV หรือ PHEV เราแนะนำว่า คุณควรมีจุดติดตั้งตู้ชาร์จ(EV Charger)ของตนเองโดยเฉพาะ
การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าด้วยไฟบ้านที่เป็นประแสสลับ “AC” ถูกจำกัดไว้ที่ 22 กิโลวัตต์ ซึ่งใช้เวลาในการชาร์จไฟจาก 0 -100% ประมาณ 6 – 10 ชั่วโมง(ขึ้นอยู่กับระยะวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้า) ดังนั้น หากคุณอาศัยอยู่ในคอนโดหรือสถานที่อาศัยที่ไม่สามารถติดตั้งตู้ชาร์จ(EV Charger)ส่วนตัวได้ รถยนต์ไฟฟ้าอาจไม่เหมาะกับคุณ เนื่องด้วยในประเทศไทยมีจำนวนตู้ชาร์จสารธารณะของเอกชนที่รองรับได้น้อยกว่าจำนวนรถยนต์ EV ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน จึงอาเกิดปัญหาการแย่งตู้ชาร์จหรือรอคิวตู้ชาร์จอยู่บ่อยครั้ง
4. ดูประสิทธิภาพแบตเตอรี่
ข้อดีที่สำคัญที่สุดของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าคือการประหยัดค่าใช้จ่าย(ค่าน้ำมัน)รายเดือน เพราะไฟฟ้าในบ้านย่อมมีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินหรือดีเซลตามปั้มน้ำมันเสมอ ดังนั้นหากคุณกำลังเลือกรถยนต์ BEV แบบใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน สิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนวณคือ ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่(State of Health) คุณสามารถดูได้โดยการแบ่งช่วงแบตเตอรี่ด้วยความจุที่ใช้งานได้ของแบตเตอรี่เมื่อเทียบกับหน่วยกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง(kWh) ยิ่งตัวเลขสูงเท่าไรก็ยิ่งประหยัดค่าใช้จ่ายลงเท่านั้น
ตัวอย่าง
MG4 EV รุ่น SE Long Range มีช่วงระยะวิ่งอย่างเป็นทางการที่ 452 กม. ในหนึ่งรอบชาร์จ พร้อมความจุแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ 64kWh เพื่อเปรียบเทียบด้านประสิทธิภาพแบตเตอรี่(SOH) เราจึงสามารถนำ 452 กม. หารด้วย 64 kWh จะได้เท่ากับ 7 กม. ต่อ กิโลวัตต์ชั่วโมง
หากคู่เปรียบเทียบคือ MG ZS EV มีระยะวิ่งที่ 400 กม. ในหนึ่งรอบชาร์จ กับ แบตเตอรี่ 51 kWh เมื่อนำมาหารกันจะได้ประสิทธิภาพแบตเตอรี่(SOH) 7.8 กม. ต่อ กิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นต้น
5. ดูอัตราเร่งของรถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้ระบบเกียร์จะมีความหน่วงเกิดขึ้นเมื่อสลับเกียร์ในการเร่งความเร็ว หากแต่รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ(EV) จะไม่ใช้ระบบเกียร์ในการขับเคลื่อนโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ระบบรถยนต์ไฟฟ้าจะใช้การส่งกำลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง ทำให้การเร่งความเร็วจะเกิดขึ้นในทันทีและมีอัตราคงที่อยู่เสมอด้วยการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่ราบรื่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรถยนต์ไฟฟ้าหลายคันจึงมีอัตราเร่งที่สูงกว่า เช่น รถยนต์ไฟฟ้า Tesla รุ่น Model 3 มีอัตราเร่ง 0 – 100 กม. /ชม. เพียง 5.3 วินาทีเท่านั้น!
ดังนั้น หากพลังไฟและอัตราเร่งออกตัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณ เราแนะนำให้เลือกรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ(BEV) เป็นหลัก กลับกันที่รถยนต์ไฟฟ้า PHEV และ HEV จะยังใช้การเร่งความเร็วด้วยระบบเกียร์แบบดั้งเดิม
สรุป
การเลือกดูรถยนต์ไฟฟ้า EV เราแนะนำให้พิจารณาถึง 5 ข้อควรพิจารณาหลัก อันได้แก่ เลือกประเภทรถยนต์ไฟฟ้า(EV) ให้เหมาะสมกับการใช้งาน หากคุณเป็นผู้เดินทางบ่อยและระยะทางไกล รถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV อาจไม่เหมาะกับคุณ เนื่องด้วยระยะวิ่งที่ถูกจำกัด ยิ่งถ้าหากคุณไม่มีจุดตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัว การเลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริดเพื่อเดินทางข้ามจังหวัดหรือระยะไกลนั้นอาจเหมาะสมกับคุณมากกว่า
แต่ถ้าหากคุณเน้นการใช้งานรถยนต์ในเมือง หรืออยู่ใกล้กับตู้ชาร์จไฟสารธารณะและมีเวลาสำหรับรอการชาร์จไฟเพียงพอ รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบอาจเหมาะสมสำหรับคุณมากที่สุด จากข้อดีที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดมลภาวะ และอัตราเร่งที่เหนือกว่ารถยนต์ที่ทำงานด้วยเชื้อเพลิงน้ำมันทั่วไป หากแต่อย่าลืมที่จะเลือกดูระยะวิ่งและค่าประสิทธิภาพแบตเตอรี่(SOH) เพื่อเปรียบเทียบรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุดก่อนตัดสินใจเสมอตามที่เรามอบคำแนะนำ สำหรับวันนี้ ขอบคุณครับ